เทศน์เช้า

ขณะจิต

๓o ธ.ค. ๒๕๔o

 

ขณะจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นสมาธิไง นี่ไปกี่รอบมา นี่ไปด้วย ที่ไปดูนั่นน่ะ อันนี้! เขาบอกมันเป็นความว่าง มันเป็นความเข้าใจ เห็นไหม ที่เราไป ที่เขาพูดบอกว่าพอเข้าไปรู้เท่ามันก็ปล่อยวาง แล้วถามว่าปล่อยวางได้หรือ? ปล่อยวางได้หรือ? เพราะไม่มีขณะจิต

ขณะไง อย่างเช่นเราไปนู่น เห็นไหม เราซักเขาตลอดเลย ซักเขาเป็น ๒-๓ ชั่วโมงเลยเพื่อจะรอขณะ เราพูดต่อหน้าเขาด้วย เออ.. นี่คุยกันมาตั้งนาน จะหาขณะ หาขณะ ไม่เจอขณะ คือว่าพอพูดแล้ว คือว่าเขาไม่รู้จริงไง ก็บอกเขาตรงๆ เลยว่าแบบว่าเรามาทวงเช็คไง เรามาทวงหนี้ เอาเช็คมานี่เราต้องการเช็คใบนี้อยู่ที่ไหน? ขอดูต้นขั้วเช็ค ขนาดนี้เขายังไปหาต้นขั้วเช็คไม่เจอเลย แสดงว่าเขาไม่มีเช็คไง

เราพูดตรงๆ เลย เห็นไหม ไอ้นี่ก็นั่งฟังอยู่ด้วย ไปกันหมด บอกว่าขณะจิต ขณะจิตที่เป็นไปนี่อยู่ที่ตรงไหน? ก็เหมือนกับว่าเราถือเช็คมา จะมาทวงถึงต้นขั้วเช็คเลย ให้เขาไปค้นในตู้เซฟว่าต้นขั้วเช็คอยู่ที่ไหน? เขายังไม่มีต้นขั้วเช็คเลย.. นี่ขณะ ที่ว่าขณะๆ แต่ขณะนี้ คำว่าขณะนะมันเป็นความแปรเปลี่ยน กับขณะที่เป็นไป มันเหมือนกับการส่งมอบงานไง การเซ็นรับมอบงาน ขณะนี่ต้องมีตรงนี้

แต่นี้เป็นคำพูดของพระกรรมฐานนะ ในวงกรรมฐานจะเรียกว่า “ขณะจิต” ทีนี้ถ้าเป็นวงสากลที่ใช้อยู่ ใช้ว่า “สมุจเฉทปหาน” ไง สมุจเฉทปหานมันเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าไง แต่ถ้าวงกรรมฐาน วงของอาจารย์ อาจารย์จะใช้คำว่า “ขณะจิต” ขณะจิตที่มันขาดเลย ขณะนั้นมันเป็นไป คำว่าขณะเพราะอะไร? เพราะว่าเราทำอะไรอยู่เรามีสติพร้อมใช่ไหม? เราทำอะไรอยู่เราต้องมีสติพร้อม เรานับตังค์นี่เราจะว่า ๑๐๐, ๒๐๐, ๓๐๐, ๕๐๐ ขณะครบ ๑๐๐ นี่เรารู้ไหม? ขณะครบ ๑๐๐

๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ นับขึ้นมาเรื่อย นี่เรากำลังทำขึ้นมา แต่ขณะครบ ๑๐๐ ไง ครบ ๑๐๐ กิ๊ก! นี่ขณะจิตไง ขณะที่มันครบเต็มตามจำนวนแล้วมันเป็นไปไง นี่ขณะจิต ขณะอย่างนี้ถ้าไม่มีอย่างนี้มันไม่ใช่ขณะจิต ที่ว่ามันรวมลง เพราะมันสติไม่พร้อมไง มัคคะไม่สามัคคีไง มรรคสามัคคีคือความรวมตัวของมรรคไง มรรคสามัคคีคือการรวมตัวของมรรคไง พอการรวมตัวของมรรคมันครบองค์บริบูรณ์ มันครบร้อยไง ครบร้อยเป็นส่วนไป

แล้วอย่างที่ว่าการเซ็นมอบงานก็ได้ การส่งมอบงานต้องมีตรงนี้ตลอด และอธิบายได้หมด ถึงเป็นปัจจัตตังไง ถึงเป็นปัจจัตตังไม่ต้องถามใครเลย เป็นปัจจัตตังเด็ดขาด ถ้าลังเลสงสัยอยู่ ยังอ๋อ ยัง ๙๙ ยัง ๘๙ ยัง ๗๕, ๕๗ ไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่เพราะอะไร? เพราะมันเป็นตทังคะไง มันชั่วคราว มันตทังคะไม่ใช่สมุจเฉท ความเป็นสมุจเฉทต้องเต็มที่ แล้วไปแล้วไม่มีกลับ อกุปปะ ความเป็นอกุปปะไปเลย

นี่พอออกมาอย่างนี้ปั๊บ ถ้ามีปัญญาปั๊บนี่เอาไว้ยันเลย แล้วจะอธิบายให้ฟังเลย ไม่ใช่ว่าเป็นตัวนี้ตัวเดียวไง มีที่มาไง เป็นผู้อธิบายไง เป็นครูสอนวิชาการไง เอาไม้ชี้กระดานดำไง เอาทฤษฎี เป็นครูสอนเอาไม้ชี้กระดานดำเลย นี่ไม้ชี้กระดานดำเลย แหม.. มันช้าไป ออกมาก่อนจะถือไปด้วย ไปไหนจะถือไปด้วย จะชี้เลย นี่อาจารย์ยืนยันมา

แต่ปกติที่พูดอยู่นี้พูดแต่ในธรรมเตรียมพร้อมไง เวลาอ้าง อ้างธรรมเตรียมพร้อมของอาจารย์มหาบัวตลอด เพราะอะไร? เพราะในธรรมเตรียมพร้อมนั้น มีอยู่กัณฑ์หนึ่งชัดๆ เลย

“แสงสว่างคืออวิชชา”

แสงสว่างคือตัวอวิชชา ไปเปิดได้เลย แหม.. พออ่านไปแล้วมันซึ้งมาก ไปไหนอ้างแต่ตรงนี้เลยเพราะอะไร? เพราะอันนั้นที่ว่าเอ็งแสงสว่าง เอ็งจิตผ่องใสนี่อวิชชาทั้งหมด! นั่นคือตัวอวิชชาล้วนๆ ไม่ใช่สว่าง ไม่ใช่มืด ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น อ้าปากไม่ได้ ฉะนั้น เวลาอ้างนี่อ้างตรงนั้นไง อย่างนี้มันถึงว่าช้าไปๆ อย่างว่ามันออกไปแล้วเนาะ มันเป็นแบบนั้น

อย่างที่พูดนี่ อย่างที่เขามา แบบที่ว่านัดพามา เขาบอกเลย เขาคิดอยู่ตลอดเวลา คิดแต่ว่าจะทำลายคนอื่น คิดแต่ทำลายคนอื่น ขนาดคิดทำลายคนอื่นนะ ถึงจุดหนึ่งมันปล่อย เห็นไหม ว่าง สว่างโพลงขึ้นมาเลย อันนี้มันก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิใช่ไหม? แต่อันนี้ที่ว่าขณะจิตไง

อย่างคำว่าขณะจิตมันเป็นวิปัสสนาญาณ มันเป็นวิปัสสนา มันเป็นภาวนามยปัญญาไง ปัญญาต้องเกิดการภาวนา ไม่ใช่อย่างนี้ไง แต่นี่เปรียบเทียบให้ดูว่าขณะจิตเราจะชักเข้ามาตรงนี้ ตรงที่แบบว่าถ้าขณะจิตนะคนต้องอธิบาย แม้แต่คนไม่เป็นก็อธิบายถูก ของจริงก็มี พอไปเจอของจริง นี่ของจริงบอกว่าป่วยมาก ปี ๒๑ ชื่ออาจารย์..... ป่วยมากๆๆ แล้วพอมันป่วยมันแยกออก นั่นล่ะขณะจิต

แยกเลยนะ ป่วยเป็นป่วย จิตเป็นจิต หลุดออกหมดเลย นั่นน่ะเขาไม่ต้องบอกว่าขณะจิต ทำไมคนที่ฟัง คนที่คุยกันรู้ว่าเป็นขณะจิตล่ะ? เขาไม่ได้บอกว่าขณะจิตนะ แล้วเราก็ไม่ได้บอกขณะจิตนะ แต่บอก เออ..

“อ้าว.. ทำอย่างไรต่อไป?”

“แค่นี้แหละครับ แล้วท่านจะให้ผมทำอย่างไรต่อ”

เห็นไหม แล้วก็ให้ทำต่อไปอย่างนั้นๆๆ แล้วเขาขอเข้าป่าไปเลย ตั้งแต่นั้นมาแล้วไม่เจอกันเลย อันนี้ของจริง แต่ที่เราไปหากัน เราไปซักแล้วซักอีก ขนาดบอกตรงๆ เลยนะ ขอขั้วเช็คมาชนกับเช็คหน่อยน่า อยู่ไหน? เอาเช็คไปชนต้นขั้ว ยังไม่เห็นต้นขั้วเช็คเลย แล้วเขาบอกว่าเขาสิ้น เขาว่า เพราะตอนหลังเราฟังอยู่เขาว่าเขาสิ้น แต่ไม่มีตรงนี้เลย นี่คำว่าขณะไง

คำว่าขณะ แม้แต่ในประวัติเราฟังมา ผิดถูกเราฟังมานะ แต่อันนี้เชื่อ เพราะในพระไตรปิฎกก็มี ว่าหลวงปู่บัวโกนผม นี่ผมตกขึ้นมาเป็นโสดาบันเลย แล้วขณะจิตอยู่ไหนล่ะ? ก็ในเมื่อไม่ได้ภาวนามยปัญญาเลย ไม่ได้อบรมปัญญาแล้วเอาขณะมาจากไหน? ทำไมไม่อบรมล่ะ? อ้าว.. บารมีแก่กล้ามาแล้ว ขณะผมตกนี่มันความกระทบไง ขณะผมตก โกนหัวนี่ผมตกขึ้นมาจิตมันกระทบ

ทำไมพระไปหาพระพุทธเจ้านะ จะไปถามธรรมะพระพุทธเจ้า กำลังสงสัยอยู่จะไปถามพระพุทธเจ้าฝนตกพอดี พอฝนตกไปยืนอยู่ใต้กุฏิพระพุทธเจ้า ฝนตกมา น้ำตกมาเป็นต่อมๆ เห็นไหม ตัวเอง ตัวของพระองค์นั้น ปัญหาในหัวใจกำลังหมุนเต็มที่เลย กำลังหมุนเลย กำลังหาช่องออกเลย ปัญญากำลังหมุนติ้วๆ เลย แต่ยังไม่มีคนสะกิดไง คือยังไม่เข้าพอดีไง พอไปเจอฝนตกลงมา แล้วน้ำนี่เป็นต่อม เป็นต่อมขึ้นมาแล้วแตก น้ำเป็นต่อมขึ้นมาแล้วแตก

ไอ้ต่อมที่แตก ความสภาวะที่มันเป็นไปข้างนอกมันกระทบเข้าข้างในไง เพราะอันนี้กำลังหมุนอยู่พอดีใช่ไหม? มันก็เอ๊อะ! โกนผมนี่ผมตก ตรงนี้บารมีเสริมมาเต็มที่กำลังหมุนอยู่ภายใน ผมตก เอ๊อะ! เอ๊อะ! ขณะจิตทันทีเลย ขณะนี้ไม่ต้องมาอวดว่าขณะหรือไม่ขณะ แต่คนที่เป็นต้องพูดถูก มันถึงว่าครบองค์ประกอบของหนึ่งร้อยไง ไม่ใช่ว่าน่าจะเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ใช่ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ทั้งหมด

ฉะนั้น ไม่ใช่ต้องบอกว่า แหม.. ขณะเป็นอย่างนี้นะ นี่ ข.ไข่ ณ.เณร สระอะ ขณะนี่ไง ไอ้บ้า! มึงบ้าแล้ว ขณะคืออาการที่เป็นไปข้างใน ที่จะพูดเป็นรูปไหนก็ได้ จะพูดเป็นรูปไหนก็ได้ แต่คนรู้รู้จริงๆ จากผู้รู้นั่นแหละพูดออกมา พูดเป็นอาการอย่างไรจะรู้เลยว่าตรงนี้เป็นจุดที่ คือว่าวิ่งครบร้อยเมตรไง ตรงเส้นชัยที่ครบร้อยเมตรไง ตรงเข้าเส้นชัยตรงร้อยเมตรนั้น เป็นร้อยเมตรที่ ๑ ร้อยเมตรที่ ๒ ร้อยเมตรที่ ๓ ร้อยเมตรที่ ๔ แล้วยังมีลับลมอยู่ข้างบนอีกชั้นหนึ่ง ยังมีอีกหน่อยหนึ่งด้วย

นี่แล้วตรงนี้อาจารย์มหาบัวพูดอยู่ ค้นพระไตรปิฎกมา อาจารย์มหาบัวก็เป็นมหามา แล้วท่านค้นพระไตรปิฎกด้วย ท่านเรียนด้วย ท่านบอกว่าท่านค้นหมดแล้ว พระไตรปิฎกไม่มี.. ไม่มี ไอ้ตรงนี้ที่ว่าลับๆ อย่างนี้ไม่มี ไม่มีหรอก ในพระไตรปิฎกไม่มี แต่ทุกคนต้องผ่าน ถ้าไม่ผ่านไม่ใช่ แต่ในพระไตรปิฎกไม่มี เหมือนกับที่ว่าอาจารย์มหาบัวพูดไง พูดว่า

“หลวงปู่มั่นไม่เคยพูดเลยว่าหลวงปู่มั่นสำเร็จ ไม่เคยพูดซักคำหนึ่ง”

หลวงปู่มั่นไม่เคยพูดเลย หลวงปู่มั่นถามหาแต่เหตุ เหตุเป็นอย่างไร? แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร? นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ไม่ใช่ มีแต่เป็นการด้นเดามา เป็นด้นเดามา ถึงว่าขณะจิตไง พอพูดว่าขณะจิต อยากจะพูดขณะเพราะอะไร? เพราะพูดไว้บ่อยมาก แล้วพวกนี้เขาไปเขาก็เคยถามอยู่ เอ๊ะ.. ขณะเป็นอย่างไร? เขาก็ถามอยู่ ก็ ข.ไข่ ณ.เณร สระอะไง นี่อย่างนี้ไม่รู้หรือ? พูดอย่างนี้เอ็งก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ แต่เขาไปฟังมาบ่อย แล้วเขาถามหาบ่อย แล้วถ้าอย่างนี้ชัดๆ ชัวร์ๆ เลย

เพราะอย่างนี้มานี่มันยันกันได้หนึ่ง แล้วแบบว่ามันยันได้หนึ่งนะ เพราะเป็นคำพูดของครูบาอาจารย์ มันก็เหมือนกับพระไตรปิฎกเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เวลาอ้างพระไตรปิฎกคนก็จะเชื่อ เพราะความเชื่อถือมันเต็มที่แล้ว เต็มภูมิแล้ว นี่ความเชื่อถืออย่างนี้เต็มที่แล้ว ถ้าอ้างอย่างนี้มันก็มีฟังบ้าง แต่คนที่ยังไม่เชื่อเขาก็ยังไม่เชื่ออยู่วันยังค่ำ ไม่เชื่ออย่างนี้นะ แต่ในวงปฏิบัติเรานี่เชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย

แล้วคำพูดก็อย่างที่ว่านี่ทำไมมันตรงกัน? เห็นไหม เหมือนกับแกะเอามาจากต้นฝักอันเดียวกันเลย แล้วไม่รู้ว่าใครลักของใครไง ถึงว่านี่มันจะยันกันไง จะมายันตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าว่าไว้ไง ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

อาจารย์มหาบัวท่านเทศน์นะ ท่านบอกท่านเทศน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้สื่อเฉยๆ ท่านบอกที่ท่านพูดทุกคำเป็นของพระพุทธเจ้านะ แต่ท่านเป็นผู้สื่อเฉยๆ แล้วท่านก็ไม่สงสัยในพระพุทธเจ้าด้วย มันต้องเป็นอันเดียวกันสิ ถึงว่าเป็นต้นขั้วอันเดียวกันไง นี่ไม่รู้ว่าใครลักใคร ไม่รู้ว่าใครลักของใครมา แต่มันตรงกัน ถ้าไม่ตรงกันมันก็ผิด จะมาสายไหนก็แล้วแต่ต้องออกตรงนั้น

นี่ถึงว่าที่เวลาไปเที่ยวไปดู เราไปเที่ยวไปดูไม่ใช่อะไรหรอก เราก็แบบว่าเห็นครูบาอาจารย์ท่านก็ทำเพื่อศาสนา แล้วไอ้พวกที่มาทำให้มันปั่นป่วนไป ถ้ามันเป็นจริงมันจะปั่นป่วนได้อย่างไรใช่ไหม? แล้วเราก็เป็นแบบว่าเหมือนกับทหารเลว เราเป็นทหารเลวของอาจารย์ ในเมื่ออาจารย์ท่านพูดอะไรอยู่ ทหารเลวก็ควรจะไปดูสิว่ามันมีลับลมคมในอย่างไร? แล้วนี่พอไปแล้วไม่ต้องไปดูเลย โต้งๆ โต้งๆ เลย เห็นคาตาตลอด ไม่มีถูกซักอันหนึ่ง

เห็นโต้งๆ เลยนะ แต่เวลาอาจารย์พูดอะไรเราจะเก็บไว้ แล้วทหารเลวก็จะไปราชการ ทหารเลวก็จะไปดู เห็นไหม ไปพวกนี้นะ รถตู้ไปนู้นไปนี่ ทหารเลวไง เราเป็นทหารเลวของอาจารย์ เราก็เที่ยวไปดู แล้วก็ไม่ไปรายงานอาจารย์ด้วย เพราะว่าถ้าอาจารย์พูดอาจารย์ต้องรู้ก่อนแล้ว อาจารย์ต้องเก็บข้อมูล ต้องรู้แล้วถึงจะพูดออกมา แต่เราก็แบบว่า.. นี่ในวงการศาสนาก็ไปดูซิ แล้วก็เป็นประสบการณ์ชีวิตของเราด้วย นี่เป็นข้อมูล เป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นอะไรไป ถึงบอกว่าใช้ได้เลย ขณะจิต.. พูดเรื่องขณะจิต

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ใช่ไหม? ก็เริ่มต้นนี่พระสงฆ์ก็สมมุติสงฆ์ไง สมมุติสงฆ์ก่อน แล้วก็เป็นอริยสงฆ์ใช่ไหม? พระสงฆ์ก็เป็นมนุษย์ใช่ไหม? มนุษย์นี่ใจไง ใจของปุถุชน ใจชุ่มด้วยกิเลสใช่ไหม? ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมนะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังกราบธรรม เห็นไหม นี่ธรรม

พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ใช่ไหม? หัวใจนั้นน่ะ จากหัวใจที่มืด หัวใจที่ดำใช่ไหม? พอศึกษาธรรม รู้ธรรมตามความเป็นจริงมันสะอาดขึ้นใช่ไหม? พอสะอาดขึ้น ตัวของหัวใจนั้นมันก็เป็นพุทธะไง เห็นไหม จากขั้น ๑ ขั้น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ๔ หัวใจที่สกปรกศึกษาธรรม ศึกษาธรรมความสกปรกนั้นเป็นโลก เป็นสมมุติก็ออกไป ก็เป็นธรรม การศึกษานี้เป็นศาสนธรรมคำสั่งสอน แต่หัวใจที่เป็นธรรมคือเป็นธรรมแท้จากเนื้อของธรรมไง ทีนี้หัวใจนี้เป็นเนื้อของธรรม ก็หัวใจนี้เป็นผู้ที่รับผลของพุทธะไง

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงเป็นอันเดียวกันไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใช่ไหม? พระสงฆ์ สมมุติสงฆ์นี่ไม่ใช่ สมมุติสงฆ์นี่ ถ้าพระสงฆ์ทำตัวไม่ดีเป็นโมฆบุรุษด้วย ฉะนั้นพระสงฆ์ที่เป็นพระพุทธ พระธรรม อันเดียวกัน คือหัวใจที่เป็นอันเดียวกัน หัวใจที่เป็นธรรม ธรรมที่เป็นพุทธะ เห็นไหม อันเดียวกันไหม?

นี่หัวใจที่สกปรก พลิกขึ้นมาก็สะอาดด้วยเนื้อธรรมไง ไม่ใช่ศาสนธรรม เป็นธรรมแท้ เอโก ธัมโม จิตหนึ่งเดียว จิตนี้เป็นธรรมแท้ไง จิตที่เป็นธรรมแท้คือพุทธะล้วนๆ ไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต หนึ่งเดียว! ไม่มีสอง มีสองเป็นโลกทั้งหมด หัวใจที่เป็นหนึ่งไง หนึ่งไม่มีสอง พระสารีบุตรถาม

“หนึ่งไม่มีสองคืออะไร?”

นี่หัวใจที่เป็นหนึ่ง เอโก ธัมโมไง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย สัจธรรมทั้งหลาย ธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งหมด มันแปรปรวน มันเป็นอนิจจัง ธรรมทั้งหลาย คำสอนทั้งหลาย ศาสนธรรมทั้งหลายแปรปรวนทั้งหมด แต่เอโก ธัมโมไง เอโก ธัมโมนี้เป็นธรรมแท้ไง เอโกที่เป็นหนึ่ง ไม่ใช่สัพเพ ธัมมา อนัตตา เห็นไหม

สัพเพนะ ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าที่เราสวดตอนเช้าไง สัพเพ.. สัพเพคือทั้งหมด สัพเพ ธัมมา.. สัพเพ ธรรมะ เห็นไหม สัพเพ ธรรมะ อนัตตา ธรรมะเป็นอนัตตา เพราะธรรมะเป็นสภาวธรรมไง สภาวธรรม ถ้าไม่เป็นอนัตตานะ เป็นโสดาบันจะเป็นสกิทาคามีไม่ได้ เพราะมันเป็นอัตตาไง เป็นโสดาบัน โสดาบันนี้เป็นอกุปปะนะ ไม่เปลี่ยน

ฉะนั้น ถ้าธรรมทั้งหลายมันเป็นอัตตา นี่เป็นสมาธิต้องไม่เสื่อมสิ สมาธิธรรมก็เสื่อม อนัตตา พอถึงเท่าไหร่เสื่อมทั้งหมด ความจำเสื่อมทั้งหมด สังขารจำเท่าไหร่ สัญญาจำเท่าไหร่เสื่อมทั้งหมด ความจำมาเสื่อม เงินมีเท่าไหร่เก็บไว้ในตู้เซฟยังลืมเลย แต่ถ้าเป็นเอโก ธัมโมไม่มีลืมเพราะอะไร? เพราะหัวใจมันเป็นเนื้อธรรมไง

อย่างเช่นเราเอาไม้ตีมือนี่ตีเราเจ็บไหม? เจ็บ.. หัวใจกระเทือนไหม? กระเทือน เพราะมันเป็นเนื้อธรรมไง ไม่ใช่สัญญา สัญญาเป็นขันธ์ สัญญาเป็นความจำ ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จิตกับขันธ์คนละอัน ขันธ์ ๕ ขาด พระอนาคามี ฉะนั้นมันไม่ใช่จิตไง ขันธ์ไม่ใช่จิต ความจำไม่ใช่จิต ความจำไม่ใช่ธรรมแท้ไง นี่มันถึงว่าเป็นปริยัติมาก่อน เป็นความจำมาก่อน พอเข้าถึงเนื้อธรรมปั๊บเป็นเอโก ธัมโมไง หนึ่ง! หนึ่ง! หนึ่งเด็ดขาด